วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สามก๊ก ใครว่า "อ่านจบแล้วคบไม่ได้"

สามก๊ก ตอนที่ 01 - คำสาบานในสวนดอกท้อ


เดิมแผ่นดินจีนเป็นสุขมาช้านานแล้วจึงเป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข เป็นวัฎจักรวนเวียนมาถึงจวบจนสมัยพระเจ้าเลนเต้ ครองราชย์มิได้ตามอยู่โบราณราชประเพณี ทำให้ราชการแผ่นดินที่มีมาได้แปรผันไป เกิดการก่อขบถ ปล้นสะดมทั่วทุกหัวระแห่ง เตียวก๊ก เตียวโป้ เตียวเหลียง ปลุกระดมไพร่พลก่อขบถโจรโพกผ้าเหลือง สุดที่ทหารแผ่นดินจะต้านทานไหว จึงติดประกาศทุกหัวมุมเมือง รับอาสาสมัครผู้กล้าจับโจรให้จงได้

ฝ่ายเล่าปี่ยืนดูประกาศจากทางการแล้วทอดหายใจอยากช่วยเหลือแต่ติดทางกำลัง ทรัพย์ ด้วยเดิมเป็นชาวบ้านยากจน อาศัยทอเสื่อขายยังชีพ แต่ได้มีเชื้อราชวงศ์ฮั่นติดตัวมา ทันใดนั้นเตียวหุยได้พบเล่าปี่คิดช่วยเหลือ ทั้งสองจึงยินดีเป็นอันมาก ในร้านสุราเล่าปี่ และเตียวหุย ได้พบกับกวนอูซึ่งหลบหนีการตามล่าจากทางการด้วยไปฆ่าคนมา เห็นว่าทั้งสามมีความเห็นพ้องต้องกันช่วยเหลือการแผ่นดิน จึงทำพิธีสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันใต้ต้นดอกท้อ โดยเรียงจากอาวุโส เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ตามลำดับออกรวบรวมรี้พล ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ได้พบกับตั๋งโต๊ะซึ่งทางการได้แต่งตั้งมาให้ปราบปรามแต่ไร้ความสามารถ เล่าปี่จึงเข้าช่วยเหลือ ภายหลังปราบขบถสิ้นซาก พระเจ้าเลนเต้ได้ปูนบำเหน็จนายทหารใหญ่น้อย แต่ตัวเล่าปี่ซึ่งเป็นเพียงอาสาสมัครยังมิได้บำเหน็จ จึงรอคอยอยู่เป็นเวลานาน

วิธีทำ KM ในองค์กรภาครัฐ 


1. ทำให้คนเห็นคุณค่าของ KM 


ผมมองว่าในหน่วยงานภาครัฐของบ้านเราขณะนี้มีโครงการต่าง ๆ เต็มไปหมด   จนข้าราชการล้าและเครียด   การทำ KM ต้องอย่าให้เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เข้าไปเพิ่มภาระ   สร้างความทุกข์

                           

ต้องทำให้ KM ช่วยลดงาน  ลดภาระ  เพิ่มความสุขให้ได้

 วิธีการคงมีหลายวิธีและต้องทำหลาย ๆ อย่างประกอบกัน
         วิธีที่ผมนำเสนออาจเรียกว่า "เวทีชื่นชมผลงาน"  หรือชื่ออื่นที่ดึงดูดใจและสร้างความชื่นชมอยู่ในถ้อยคำ
         เริ่มด้วยให้แกนนำ KM ไปเสาะหาคนระดับปฏิบัติการที่ทำงานแล้วเกิดผลดี   ทำงานเก่ง   มีวิธีสร้างความสำเร็จ (เล็ก ๆ) ในการทำงานอย่างน่าชื่นชม   โดยที่ความสำเร็จเล็ก ๆ นั้นจะเป็นพลังขับดันไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ของหน่วยงานหรือองค์กรเสาะหามาให้ได้สัก 10 - 20 คน   แล้วเชิญมาประชุมแบบล้อมวงเล่าเรื่องว่าความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ได้รับยกย่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร  โดยมี Group Facilitator และ Note Taker ประจำกลุ่ม   สำหรับนำเรื่องเล่าและเคล็ดลับในการทำงานเล็ก ๆ เหล่านี้ไปเผยแพร่ในเว็บไซต์  จดหมายข่าว  หรือสื่ออื่น ๆ
         ถ้าแกนนำ KM ได้รับการฝึกเป็น "คุณอำนวย",  "คุณลิขิต" ก็จะสามารถสร้างบรรยากาศชื่นชมยินดี   เปลี่ยนความรู้สึกคน   ทำให้คนที่มาร่วมเวทีตื่นตะลึง   เพราะนึกไม่ถึงว่าคนระดับปฏิบัติการจะมีเคล็ดลับหรือความสามารถในการคิดวิธีทำงานดี ๆ ได้ถึงขนาดนี้
ผลคือ
       (1) ผู้เข้าร่วมจะเริ่มเข้าใจคำว่า "ความรู้ในคน" หรือความรู้ปฏิบัติที่เป็นหัวใจของ KM และเห็นพลังของความรู้ในคน
       (2) ผู้เข้าร่วมจะ
เห็นคุณค่าและเคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น  มีความมั่นใจในตนเองที่จะคิดทำงานแบบสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
       (3) ผู้เข้าร่วมได้พัฒนาตนเองโดยการ "เปิดใจ" และเมื่อทำบ่อย ๆ จะเป็นคนที่ "ใจเปิด"   ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการเรียนรู้
       (4) ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการฟังแบบ Deep Listening ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการเป็นบุคคลเรียนรู้

2. แนวทางเลือกหัวข้อ


                             
หลักการในการเลือกหัวข้อทำ KM ในหน่วยงานภาครัฐ  ได้แก่ 
          (1) เป็นหัวข้อที่ทำแล้วจะเริ่มเห็นผลภายใน 3 เดือน  เห็นผลชัดเจนภายใน 1 ปี  
          (2) เป็นหัวข้อที่ให้ความรู้สึกเป็นอิสระ (และไม่เป็นอิสระ) แก่เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ  
          (3) เป็นหัวข้อที่จะช่วยการวางพื้นฐานการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร จากควบคุมสั่งการ มาเป็นแบบ “เสริมพลัง” (Empowerment)
ถ้าให้ผมเป็นผู้กำหนดหัวข้อ หรือ desired state ของการทำ KM ในปีแรก ผมจะเลือกคำว่า “ทำ Knowledge Mapping”  โดยมีเป้าหมายเพื่อ 
           (1) รู้ว่าองค์กร / หน่วยงาน ต้องการความรู้หลักอะไรบ้าง เพื่อการบรรลุวิสัยทัศน์  
           (2)  รู้ว่าองค์กรมีความรู้ (ปฏิบัติ) ที่ต้องการอยู่ที่ไหน   ใครเป็นคนเก่งด้านใด ที่ องค์กร / หน่วยงาน ต้องการ   และมีการรวบรวมไว้ทั้งในรูปของความรู้แจ้งชัด และความรู้ฝังลึก   
           (3) รู้ Knowledge Gap ขององค์กร / หน่วยงาน  
           (4) ให้คนในองค์กร / หน่วยงาน มีใจที่เปิด ที่จะ “ให้และรับ” ความรู้ปฏิบัติ

KM ที่ผิด คือ KM ที่ทำแล้วเพิ่มงาน    พนักงานรู้สึกว่าเป็นภาระเพิ่มขึ้น

        •   KM ที่ผิด คือ KM ที่ผู้ทำรู้สึกว่าตนกำลังทำผลงานให้นาย หรือให้หน่วย KM
        •   KM ที่ถูก คือ KM ที่ทำแล้ว “งานได้ผล คนเป็นสุข” และได้ผลงานเพิ่มขึ้น   เกิดมิตรภาพในที่ทำงานเพิ่มขึ้น
        •   วิธีการคือให้เริ่มจากการเสาะหาผลงานดีๆ เชิงสร้างสรรค์ ของคนเล็กคนน้อย (เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ)  ที่จะช่วยกันต่อยอดไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กร   หามาให้ได้จำนวนมากโดยมีความเชื่อว่า “ทุกคนมีสิ่งดีๆ” แต่ที่เราเลือกมาเป็นการทำดี ผลงานดี ที่จะขับดันไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กร
        •   นำมาจัดเวที ลปรร. ชื่นชม และต่อยอด โดยเอาไปปรับใช้ในงานของตน    เมื่อได้ผลดีก็นำกลับมาเล่าใหม่    จะเกิดการยกระดับความรู้ (ผ่านการปฏิบัติ)
        •   ต้องมีวิทยากร ทำหน้าที่ “คุณอำนวย”  “คุณลิขิต”  และ “คุณ” อย่างอื่น   องค์กร / หน่วยงาน จึงต้องฝึก “คุณอำนวย”   และสร้างทักษะในการเปิดพื้นที่ ลปรร. 
        •   กิจกรรมเหล่านี้จะนำไปสู่ “งานได้ผล คนเป็นสุข”  ไม่เพิ่มงาน    และกิจกรรม KM ก็แนบแน่นอยู่กับงาน